ชาวน่าน แห่ซื้อ “บักขี้เบ้า” มาทำอาหารรสโอชะ

ชาวจังหวัดน่าน แห่แย่งซื้อ “บักขี้เบ้า” หนอนตัวอ่อนแมงจู้จี้ ที่อาศัยอยู่ใต้กองขี้ควาย มาประกอบอาหารรสเลิศ สร้างรายได้ให้บรรดาพ่อค้าแม่ขายสูงถึงวันละ 4,000-5,000 บาท…

ประชาชน ทั้งข้าราชการและคนทั่วไป ใน จ.น่าน ต่างแย่งกันซื้อบักขี้เบ้า ที่แม่ค้านำมาขายในงานตามสถานที่ต่างๆ เพื่อนำไปประกอบอาหารที่หายาก ซึ่งปีหนึ่งจะหาได้ช่วงหน้าหนาวเท่านั้น โดยแม่ค้าจะซื้อจากชาวบ้านที่ไปหาตามใต้กองขี้ควายในหมู่บ้าน หรือตามฝูงความที่ขี้ตามป่า โดยแม่ค้าบอกว่า ซื้อจากชาวบ้านแล้วนำมาขายในราคา 25 ลูก ราคา 100 บาท เท่ากับลูกละ 4 บาท โดยช่วงนี้บักขี้เบ้าจะมีมาก การนำไปขายแต่ละครั้งละกว่า 1,000 ลูก รายได้ดี วันหนึ่งจะขายได้เงินถึง 4,000 -5,000 บาท

สำหรับผู้ที่มาซื้อต่างบอกว่า จะนำไปแกงกับผักหวาน ผักชะอม หรือ ผักพื้นเมืองที่ขึ้นตามป่า ซึ่งจะมีในช่วงหน้าหนาวนี้จนถึงต้นฤดูร้อน และแกงกับผักชะอม อร่อยมาก โดยกรรมวิธีในการกินก็จะนำตัวอ่อนในลูกกลมๆ ไปชำแหละเอาขี้หรือไส้ตัวอ่อนที่เป็นหนอนออก แล้วนำไปทำอาหาร นอกจากนั้นยังนำไปต้มกินกับน้ำพริกพื้นบาทได้ บ่าขี้เบ้าเป็นคำพื้นบ้านของเกษตรกรภาคเหนือที่ใช้เรียกรังของตัวอ่อนแมลง ปีกแข็งชนิดหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะเป็นก้อนกลมขนาดประมาณลูกเทนนิส ส่วนตัวเต็มวัยหรือแมลงพ่อแม่เรียกว่า แมงซู่ซ่า หากจับจะส่งเสียงร้องดังซู่ซ่า ๆ ซึ่งอาจเป็นที่มาของชื่อ แมงซู่ซ่าเป็นแมลงปีกแข็งที่มีขนาดใหญ่ รูปร่างคล้ายแมงกุดจี่ของทางภาคอีสาน แต่ตัวโตกว่ามาก ขนาดความยาวตั้งแต่ปากจนถึงก้นประมาณ 4.5 เซนติเมตร ความกว้างลำตัวประมาณ 3.5 เซนติเมตร หรือบางแห่งเรียกว่าแมงจู้จี้

keebao2
keebao3

แมงซู่ซ่า มีวิถีชีวิตผูกพันอยู่กับขี้ควายตั้งแต่เกิดจนตาย จากการสอบถามเกษตรกรยังไม่ เคยมีใครพบเห็นแมงซู่ซ่าอาศัยอยู่กับขี้วัวเลย ขี้วัวโดยทั่วไปจะเห็นเฉพาะแมงซีหรือทางอีสานเรียกแมงกุดจี่เท่านั้น ประมาณช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนสิงหาคม ตัวเต็มวัยเมื่อได้รับการผสมพันธุ์แล้วจะบินไปหากองขี้ควายที่ใหม่ ๆ สด ๆ เพื่อเป็นแหล่งอาหารและวางไข่ โดยแม่พันธุ์จะใช้ปากที่แข็งแรงคล้ายผาลของรถแทรกเตอร์ขุดรูใต้กองขี้ควาย ขนาด ความลึกประมาณ 1 ศอก หรือบางหลุมอาจจะลึกกว่านี้โดยก้นหลุมจะทำเป็นโพรงขนาดใหญ่

จากนั้นแม่พันธุ์จะวางไข่บนขี้ควายแล้วกิจกรรมปั้นก้อนขี้ควาย ที่มีไข่อยู่ภายในก็เริ่มขึ้น โดยใช้ปากดันถอยหลัง ขาหลังทำหน้าที่ปั้นก้อนขี้ควายให้เป็นก้อนกลมขนาดใหญ่แล้วลำเลียงขนลงไปไว้ ในโพรงก้นหลุมที่ทำไว้ แล้วจะกลับขึ้นมาวางไข่และปั้นก้อนขี้ควาย ขนลงหลุม ทำจนกระทั่งขี้ควายหมดกอง ซึ่งในแต่ละหลุมนั้นมีจำนวนก้อนบ่าขี้เบ้าไม่เท่ากัน บางหลุมมีถึง 15 ก้อนและขนาดไม่เท่ากัน หากเป็นก้อนขี้เบ้าจากควายหงาน (พ่อควายตัวโต ๆ ขึ้นเปรียว) ก้อนขี้เบ้าก็จะมีขนาดใหญ่ตาม หลังจากปั้นก้อนขี้ควาย ส่งลงหลุมหมดกองแล้ว แม่พันธุ์จะลงไปขุดเพื่อขยายโพรงให้กว้างโดยลำเลียงดินขึ้นมาไว้บนปากรู

keebao4

เกษตรกรที่ไปหาบักขี้เบ้าก็จะอาศัยการสังเกตกองดินที่ถูกขนขึ้นมาโดย เรียกว่า ขี้ขวย เมื่อได้โพรงขนาดใหญ่แล้วแม่พันธุ์ก็จะเริ่มกิจกรรมกลิ้งก้อนขี้เบ้าในโพรง ต่อเพื่อให้ดินมาพอกก้อนขี้เบ้า อีกชั้น ไข่เมื่อฟักเป็นตัวอ่อนจะอาศัยก้อนขี้ควายกินเป็นอาหารเพื่อเจริญเติบโต ประมาณเดือนมีนาคม-เมษายน ตัวอ่อนจะกลายเป็นดักแด้

ช่วงนี้ขี้ควาย จะถูกตัวอ่อนกินหมดเหลือแต่ก้อนดินที่เป็นเปลือก ในระยะดักแด้จะไม่กินอะไรเลย เกษตรกรรู้ว่าระยะนี้เป็นระยะที่มีคุณค่าทางอาหารที่สุดและไม่มีขี้ควายใน ท้องของดักแด้ เทศกาลหาขี้ขวยของบักขี้เบ้าก็ จะเริ่มขึ้นในช่วงเดือนเมษายนถึงต้นพฤษภาคม หากพ้นระยะนี้ดักแด้ก็จะพัฒนาเป็นตัวแก่และออกจากเบ้าดินในช่วงต้นเดือน มิถุนายน สำหรับดักแด้ส่วนใหญ่นิยมนำมาแกงกับยอดผักหละ (ชะอม) นับว่าเป็นอาหารจานเด็ด

ที่มา: ไทยรัฐ  6-02-54

Relate Post