ลูกจัน(Gold apple) สุกผลสีเหลืองกลิ่นหอม น้อยคนที่จะไม่รู้จัก ผู้เขียนเองเมื่อตอนเป็นนักเรียนชั้นประถม พอถึงฤดูลูกจันสุก ก็คือช่วง มิถุนายน – สิงหาคม เพื่อนที่ที่บ้านมาต้นจัน มักจะเก็บผลลูกมาขายที่โรงเรียนอาจจะ 2 ลูกบาท ก็มักจะซื้อกันและส่วนมากก็ใส่กระเป๋าเสื้อแล้วควักมาดมและชื่นชมความสวยของผลเท่านั้น เพราะเมื่อจะกินจริงๆ ก็รู้สึกฝาดเกินไป
เดี๋ยวนี้ต้นจันค่อนข้างหายาก นึกจะปลูกก็เป็นไม้ที่โตช้า ราคาไม่ล้อมก็แพงเอาเรื่อง เด็กๆ รุ่นใหม่ คงไม่ค่อยได้มีโอกาสเห็นต้นจันกันนัก ต้นจัน เป็นไม้วงศ์ Diospyros ก็คือจำพวกมะพลับ มะเกลือ ผลกลมป้านเรียก “จันโอ” มีเมล็ด กลมแป้นเรียก “จันอิน” เมล็ดจะลีบ มีจุกกลีบเลี้ยงติดขั้ว ลูกดิบสีเขียว สุกสีเลืองนวลอย่างกับดวงจันทร์ กลิ่นหอม
ลูกจันมีรสฝาด ลูกดิบฝาดมากๆ คนอีสานมักเอามาตำส้ม อย่างตำกล้วยดิบ ใส่ปลาร้าใส่มะเขือขื่น กับผลไม้รสเปรี้ยว ล้อมวงตำกินเป็นของว่างม่วนซื่น ลูกจันสุกจะฝาดน้อยลงและมีรสหวาน คนไทยแถบภาคกลาง ภาคตะวันออก-ตะวันตก รู้จักทำน้ำกะทิลูกจันกันทั่วไป แต่คงเป็นความรู้จักกินที่เริ่มจะเลือนๆ ไปกับยุคสมัย ผู้เขียนเองก็ไม่เคยรู้จัก และไม่เคยกิน ได้ยินแต่คำบอกเล่า จากพี่สาวท่านหนึ่งที่เมื่อฤดูลูกจันสุกมาถึง นางก็ต้องรำพึงรำพันถึงความทรงจำถึงรสชาติและพ่อผู้ล่วงลับผู้ปรุงขนมลูกจันน้ำกะทิให้กิน
ลูกจันมีสารฟลาโวนอยด์(Flavonoid) ซึ่งสามรถต้านอนุมูลอิสระ ลดการอักเสบและอาจส่งผลยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็งอีกด้วย นอกจากนั้นลูกจันยังมีสรรพคุณอื่นๆ เช่น แก้โรคนอนไม่หลับ บำรุงร่างกายและบรรเทาอาการท้องเสีย
ปีนี้ได้ลูกจันจากสิงห์บุรี เป็นของฝาก 1 กระบุง เรา(สาวๆที่สำนักงาน) จึงลองทำข้าวเหนียวมูน น้ำกะทิลูกจันกัน
วัตถุดิบที่ต้องมีได้แก่
– ลูกจันงอมๆ สัก 10 ลูก
– มะพร้าวขูดขาว 1 กก.
– น้ำตาลปี๊บ(มะพร้าว) 1, 1/2 ทัพพี(ลดเพิ่มเอาค่ะ)
– น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ
– ข้าวเหนียวนึ่ง 20 บาท(จากร้านส้มตำ)
– เกลือทะเล 2 ช้อนชา
ทำไม่ยาก
– คั้นกะทิกับน้ำอุ่นๆ ประมาณ 1 ลิตร กรองแยกกากให้เรียบร้อย อย่าลืมใส่เกลือลงไปด้วยสัก 1 ช้อนชา
– แบ่งกะทิ 3 กระบวย มาทำข้าวเหนียวมูน โดยตั้งกระทะบนไฟอ่อนๆ ใส่กะทิ ข้าวเหนียวนึ่ง น้ำตาลทราย และเกลือ 1/2 ช้อนชา แล้วผัดจนงวด
– ปอกเปลือกลูกจัน ยีเอาแต่เนื้อ
– กะทิที่เหลือ คนกับน้ำตาลปี๊บจนละลาย ใส่เนื้อลูกจันและเกลือที่เหลือ ตั้งไปกลางๆ สักครู่ ระวังอย่าให้เดือดจนแตกมัน ตั้งให้พอร้อน เป็นอันเรียบร้อย
ใครชอบน้ำกะทิทุเรียน ก็คงชอบน้ำกะทิลูกจันได้ไม่ยาก รสหวานเนียนของน้ำตาลปี๊บกับกะทิ มีรสฝาดจางๆ มาน้อยๆ ส่วนกลิ่นนี่หอมตลบอบอวล