ก็พักนี้มะนาวนั้นแพงแสนแพง จะต้มยำทำแกงอะไรที่เคยได้รสเปรี้ยวหอมกลิ่นมะนาว ก็ลำบากทั้งลำบาก ลูกเขียวๆ อ่อนๆ ก็ปาเข้าไป 6-8 บาท ควักกระเป๋าซื้อมาแล้วยังต้องมาคลึงเค้นขืนใจก็ใช่ว่าจะได้น้ำอย่างหวัง ความมั่นคงด้านมะนาวจึงขาดหายไปจากครัว แต่ความมั่นคงด้านความเปรี้ยวไม่เคยเหือดหายไปจากบ้านเราแน่ๆ เมื่อเดินท่อมๆ ไปในตลาดสดแล้วสบเข้าให้กับลูกมะดันจานโตราคาย่อมเยา น้ำพริกกะปิ มื้อนี้ ขอเปลี่ยนรสเปรี้ยวไปเสียเล็กน้อย เป็นน้ำพริกกะปิใส่มะดันแทนละกัน
จัดแจงแกะกระเทียมสักสองหัว กระเทียมอินทรีย์จากสุรินทร์ ปอกไปก็ชื่นชมในความแน่นของแต่ละกลีบ เด็ดขั้วพริกขี้หนูสวนสัก 20-30 เม็ด เขียวแดงคละกัน กะปิดีๆ นี่ก็ช่วยเราได้มาก ยังไงๆ ก็แซ่บแน่ๆ จนผู้คนค่อนแคะว่าที่น้ำพริกกะปิที่เราตำอร่อยเนี่ยอาจไม่ใช่เพราะรสมือ แหมๆๆ มันก็ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญและชื่นชอบละนะรสถึงจะออกมาสะใจ กะปิอ่าวพังงา คนทำเขากระซิบกระซาบมาว่ากินแล้วต้องช่วยกันรักษาป่าชายเลน ต้องคัดค้านท่าเรือยอร์ช ตำไปก็ร้อนๆ หนาวๆ ไป
บางคนอาจจะตำพริกกับกระเทียมเสียจนแหลกค่อยใส่กะปิตามลงไป แต่ฉันนิยมใส่ไปพร้อมกัน กะปิสักช้อนโต๊ะ ข้อดีก็คือ มันไม่กระเด็นกระดอน ค่อยตำไปจนแหลก จากนั้นก็หั่นมะดันสักสองลูก เลือกลูกโตๆ สักหน่อย หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วก็จัดการตำผสมลงไป น้ำค่อนข้างมากระวังเสียหน่อยไม่อย่างนั้นจะกระเซ็นเข้าตาจะว่าฉันไม่บอกไม่กล่าว
พอใจแล้วฉันตักใส่ถ้วย เติมน้ำตาลโตนดผงลงไปหนึ่งช้อนชา น้ำปลาเกือบๆ จะช้อนโต๊ะ น้ำต้มสุก 2 ช้อนโต๊ะ เท่านี้ก็เป็นอันเรียบร้อย ขอบอกว่างานนี้เปรี้ยว เผ็ด เค็ม ตามกันมาติดๆ
สิ่งที่ชมชอบนักหนาในน้ำพริกกะปิก็คือมะเขือพวงแต่เจ้ากรรมต้นมะเขือพวงหน้าบ้านมีแต่ดอกดกดื่น รุ่นแรกก็กินเกลี้ยงไปแล้ว ก็ได้แต่รอต่อไป
เป็นอันว่าได้น้ำพริกกะปิที่เปรี้ยวไปอีกแบบ แบบมะดัน