ผักเหลียงต้มกะทิ

สวัสดีครับ ช่วงปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาตัวผู้เขียนเองได้เข้าไปร่วมงาน งานแสดงผลิตภัณฑ์อินทรีย์และผลผลิตสีเขียวชุมชน หรืองาน Greenfair ครั้งที่ 7  ได้เข้าไปร่วมทำกิจกรรมต่างๆมากมาย และยังได้เลือกซื้อสินค้าอินทรีย์จากผู้ผลิตโดยตรง และมีสินค้าที่เป็นผักพื้นบ้านของพี่น้องชาวใต้ชนิดหนึ่งที่เป็นผักขึ้นชื่อว่าเป็น“ราชินีแห่งผักพื้นบ้าน”นั่นก็คือ “ผักเหลียง,ผักเหมียงหรือผักเขรียง” ซึ่งก็แล้วแต่การเรียกขานของแต่ละพื้นที่ ซึ่งจากข้อมูลของจากภาควิชาอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ได้ให้ข้อมูลไว้ว่า ว่า ผักเหลียง๑๐๐กรัม ให้เบต้าแคโรทีน สูงถึง ๑,๐๘๙ ไมโครกรัมหน่วยเรตินัล สูงกว่าผักบุ้งจีน๓เท่า มากกว่าผักบุ้งไทย ๕-๑๐ เท่า ผักเหลียงมีเบต้าแคโรทีนมากกว่าใบตำลึงเสียด้วยซ้ำ ผักที่ถือว่า เป็นสุดยอดของแหล่งเบต้าแคโรทีนคือแครอท ก็ไม่ได้มีเบต้าแคโรทีนมากไป กว่าผักเหลียงเลย การกินผักเหลียงจึงให้ทั้งคุณค่าของเบต้าแคโรทีนและสารพฤกษเคมีจากผักใบ และผักเหลียงยังให้คุณค่าของแคลเซียมและฟอสฟอรัสช่วยบำรุงกระดูกและฟันอีกด้วย
.เอาละครับเกริ่นนำซะนานเรามาเริ่มทำเมนูจาก ผักเหลียงกันเลยดีกว่าครับเมนูวันนี้จะช่วยเพิ่มเสริมคุณค่าของผักเหลียงให้มากขึ้นโดยการนำกะทิซึ่งเป็นไขมันธรรมชาติที่ทำให้ร่างกายของเราดูดซึมเบต้าแคโรทีน แคลเซียมและฟอสฟอรัสได้ดียิ่งขึ้น เมนูของเราในวันนี้ก็คือ “ผักเหลียงต้มกะทิ”
.สิ่งที่ต้องใช้สำหรับเมนู  “ผักเหลียงต้มกะทิ”–  กะทิ ๕๐๐ กรัม-  ผักเหลียงเเด็ดเอาเฉพาะใบและยอดอ่อนประมาณ ๑ ถ้วยแกง-  ผักข้างบ้านข้างรั้ว อย่างเช่นชะอม ผักหวานบ้าน แล้วแต่หาได้ครับ-  เมล็ดสะตอแกะแล้วใช้ประมาณ ๑ ฝัก-  หอมแดงบุบ ๔-๕ หัว-  กะปิแกงประมาณ ๓ ช้อนแกง-  เกลือทะเล ๑ ช้อนโต๊ะ-  น้ำตาลมะพร้าวประมาณติดปลายช้อนชา-  วัตถุดิบครบแล้วลงมือทำกันเลยดีกว่าครับ
.

leang001
leang003

.เริ่มโดยใส่กะทิลงในหม้อ ตั้งลงบนเตาด้วยไปกลางหมั่นคนเพื่อป้องกันกะทิแตกมัน (ใครใช้เตาถ่านใช้ขี้เถ้าใต้เตามาโรยใส่เตาเพื่อเป็นการคุมไฟ)พอกะทิเริ่มเดือดอ่อนๆ ใส่กุ้งแห้ง กะปิหอมแดง พริกไทย ลงในหม้อคนให้กะปิละลาย ชิมให้ได้รสหวานมันของกะทิ และเค็มน้อยๆของกะปิ (ถ้ายังไม่ได้ที่ให้เติมเกลือและน้ำตาล) จากนั้นใส่สะตอ ผักหวานบ้าน ชะอม และผักเหลียง ใช้ทัพพีกดให้ผักจมประมาณ ๒-๓ นาที จากนั้นก็ตักใส่ถ้วยรับประทานกับข้าวสวยร้อนๆได้เลยครับ (ใครชอบลูกโดดใส่พริกขี้หนูเสริมได้ครับ)
.*เกร็ดเล็กๆส่งท้าย-  เกลือและน้ำตาลเราจะแทบไม่ต้องใช้ในเมนูนี้นะครับ แค่กะปิ กะทิและพริกไทยก็พอแล้ว แต่สำหรับใครที่ต้องการเพิ่มรสก็สามารถเติมได้นะครับ

Relate Post