ช่วงนี้หมู่บ้านข้าพเจ้าแล้ง ฝนขาดช่วงขณะท้องนาของชาวบ้านยังปักดำกันไม่เสร็จ ยายสมควรแม่ข้าพเจ้าจึงได้แต่คั่นเวลารอฝนด้วยการไปเก็บเห็ดที่ป่าโคกอย่างขมักขเม้น ข้าพเจ้าเองมาบ้านทั้งที่ก็อยากไปเก็บเห็ดกับแม่เหมือนกัน แต่ช่วงเวลาของการอยู่บ้านมีน้อย จึงเลือกที่จะใช้สอยไปกับคอมพิวเตอร์แทน
แต่พอแดดร่มลมตก จึงขอละจากหน้าจอ เดินถือกล้องถ่ายรูปไปสำรวจสวนหลังบ้าน ซึ่งผลไม้มีไม่มากอย่าง แต่ก็รกครึ้มจนเป็นแหล่งชุมนุมของยุงหลายชนิด เดินไปเดินมาก็พลันนึกอยากปลูกต้นอะไรสักอย่างขึ้นมาตะหงิดๆ จึงวางกล้องถ่ายรูปไว้ และหันไปจับจอบจับเสียมมาขุดดินไปปลูกต้นไม้แทน
หลังจากย้ายต้นสตอเบอรี่จากที่ๆ เคยเป็นแปลงผักเก่าซึ่งหมดอายุขัยไปตั้งแต่หน้าแล้ง มาปลูกที่ใหม่ใกล้กับค่างหมากพลูของแม่ซึ่งชุ่มชื่นกว่า น้าก็พาหลานสาวหนึ่งคนหิ้วอนุบาลต้นโอ๊คที่พี่สาวคนโตขนมาฝากจากเพชรบูรณ์เมืองหนาว เพื่อเอาไปปลูกไว้ที่สวนท้ายหมู่บ้าน แต่ไม่ทันพ้นหน้าบ้านลูกแหล่งทั้งหลายก็วิ่งแจ้นเข้ามาสมทบด้วยอาการลิงโลด
กะอีแค่จะไปปลูกต้นไม้ จะไปกันแบบเงียบๆ เรียบง่ายย่อมผิดคอนเซปส์เซเลบประจำซอย ที่เพียงแค่โผล่หน้าออกมาจากบ้าน จะถือเสียมถือมีด ถือกล้าไม้ ถือหนังสือถือปากกา หรือไม่ได้ถืออะไรก็ตาม ขอแต่ให้สะพายกล้องถ่ายรูปติดคอไปด้วย เด็กๆ ไม่รู้มาจากคุ้มไหนหมู่ไหน มักวิ่งตามและเสนอหน้ามาเป็นลูกสมุน ยังกะข้าพเจ้าเป็นหัวโจกมีมนต์ สามารถเสกขนมหวานให้พวกเขากินได้ยังไงยังงั้น
ตั้งแต่ทำโครงการบ้านดินกับโรงเรียนเมื่อต้นปีที่ผ่านมา การกลับมาเยี่ยมบ้านเกิดที่ อ.เมยวดี จ.ร้อยเอ็ดแต่ละครั้งของข้าพเจ้าก็เปลี่ยนแปลงไปนิดหน่อย และเกือบปิดฉากการมาเงียบอยู่เงียบและไปเงียบๆ อันเป็นความนิยมเดิมลงอย่างสิ้นเชิง เซเลบประจำซอยจึงได้แต่สะทกสะท้อนในหัวใจ และรู้สึกอาลัยอาวรณ์ความเงียบอยู่ในอก..เฮ้อ! [อิอิ]
และกว่าทีมเราจะถึงจุดหมายปลายทาง ก็ต้องแวะถ่ายรูปนั่นนี่กินเวลาอยู่นานโข ต่อเมื่อเด็กๆ กลุ่มใหญ่ทยอยกันกลับ ข้าพเจ้ากับหลานจึงช่วยกันปลูกต้นโอ๊คซึ่งแม้จะเป็นไม้เมืองหนาว แต่แถบบ้านข้าพเจ้าก็ปลูกขึ้นและเป็นไม้ที่โตเร็วมาก
ขณะขุดดินปลูกต้นไม้ หรือกระทั่งในยามเดินสำรวจต้นไม้ในสวน….ข้าพเจ้ามักคิดจุกจิกด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องที่ว่า คนอย่างข้าพเจ้าจะกลับมาอาศัยผืนแผ่นดินแห่งนี้เป็นรังนอนไปตลอดชีวิตได้จริงๆ หรือ? ในเมื่อตลอดเวลาที่ผ่านมาเราใช้ชีวิตดั่งคนจรหมอนหมิ่น เดินทางไปนั่นมานี่ไม่ได้หยุด จนแปลกแยกและรู้สึกไม่คุ้นชินกับวิถีชีวิตของคนในหมู่บ้านนัก เหมือนคนไร้รากหรือมีสองขาหยั่งที่อยากมาอยู่บ้านด้วย แต่ความทะเยอทะยานและทักษะในการอาชีพ กลับสวนทางกับงานการที่ชาวบ้านเขาทำมาหากินกันมาแต่บรรพบุรุษ
กระทั่งป่านนี้ ข้าพเจ้าคนหนึ่งซึ่งยังสนุกกับโลกกว้างและหน้างานอื่นที่ไม่ใช่หน้านา ก็ยังไม่เห็นความจำเป็นและหรือเห็นว่าการกลับมาทำนาที่บ้านเป็นเรื่องกล้าหาญนัก ยกเว้นก็แต่จะเกิดเหตุการณ์เหนือความคาดหมายบางอย่างขึ้น แล้วต้องกลับมาอยู่บ้านจริงจัง กระนั้นก็ยังรู้สึกว่าไม่มีความจำเป็นต้องกลับมาหัดทำนาใหม่…ก็ใครเล่าอยากเป็นชาวนา ในยุคสมัยที่ความเป็นเมืองรุกคืบ และอาชีพชาวนาก็ยังเท่ห์ไม่พอ เพราะมันเป็นกระดูกสันหลังที่มักถูกเอารัดเอาเปรียบ และโดยตัวมันเองก็เรียบง่ายและธรรมดาเกินไปจนไม่มีทางสร้างร่ำรวยหรือมีหน้ามีตาในสังคมขึ้นมาได้เหมือนอาชีพอื่นที่คนหนุ่มสาวใฝ่ฝันและทะเยอทะยานที่จะไปให้ถึงนั่นเอง
อาทิตย์ลาโรงไปแล้ว ขณะยอแสงมาสักพัก ก่อนกลับบ้านข้าพเจ้าได้แต่ภาวนาให้ต้นโอ๊คกับดินใหม่เข้ากันได้ และรอดตายอย่างมีศักดิ์ศรีไปจนกว่าจะมีฝน อีกทั้งให้อยู่รอดอยู่ทนไปจนกว่าจะสิ้นอายุขัย โดยไม่ต้องกลายเป็นถังหมักเบียร์ของใครไปเสียก่อน [เอิ๊ก] สาธุ!
บทความโดย กฤษณา พาลีรักษ์