วันที่ 25 พฤษภาคม 2556 ที่ผ่านมาประชาชนในหลายร้อยเมืองทั่วโลกร่วมเดินขบวนต่อต้านบริษัท มอนซานโต้ ผู้ผลิตพันธุ์พืชดัดแปลงพันธุกรรมหรือจีเอ็มโอรายใหญ่ของโลก การเดินขบวนจัดขึ้นใน 436 เมืองใน 52 ประเทศ โดยมีผู้ร่วมเดินขบวนราว 2 ล้านคน
ผู้ประสานงานการจัดชุมนุมครั้งนี้ให้เหตุผลในการจัดการชุมนุมว่า เกิดขึ้นจากการตระหนักร่วมกันในหลายประเด็น ดังต่อไปนี้
- งานศึกษาวิจัยหลายชิ้นพบว่าการบริโภคอาหารที่ได้จากพืชดัดแปลงพันธุกรรมนำไปสู่ความเสี่ยงต่อสุขภาพ เช่น เนื้องอกมะเร็ง การเติบโตที่ผิดปกติ และการให้กำเนิด
- อดีตผู้บริหารมอนซานโต้เข้าไปอยู่เบื้องหลังการกำหนดเรื่องความปลอดภัยด้านอาหารขององค์การอาหารและยาสหรัฐ (FDA) ปัญหาของเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนนี้เป็นที่มาของการที่ไม่เคยมีการวิจัยระยะยาวเกี่ยวกับผลกระทบของผลิตภัณฑ์จีเอ็มโอเลย
- การออกกฎหมายเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2556 ที่เรียกว่ากฎหมายปกป้องมอนซานโต้ “Monsanto Protection Act” ซึ่งอนุญาตให้บริษัทสามารถขายพันธุ์พืชจีเอ็มโอต่อไปได้แม้ได้รับการตัดสินโดยศาลว่าไม่มีความปลอดภัย เป็นหนึ่งในเหตุผลการเดินขบวนครั้งนี้
- มอนซานโต้ได้ให้การอุดหนุนแก่นักการเมืองและผู้บริหารระดับสูงของรัฐ ทำให้นโยบายของรัฐเอื้ออำนวยให้มอนซานโต้ผูกขาดระบบผลิตอาหารของโลก ซึ่งรวมถึงการให้สิทธิบัตรในเมล็ดพันธุ์และเทคโนโลยีดัดแปลงพันธุกรรม สร้างผลกระทบและความสูญเสียแก่เกษตรกรรายย่อยและผู้ผลิตเกษตรอินทรีย์
- พืชดัดแปลงพันธุกรรมของมอนซานโต้เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม เช่น เป็นส่งผลกระทบต่อการล่มสลายของอาณาจักรของประชากรผึ้งทั่วโลก เป็นต้น
ประเด็นการรณรงค์ที่เป็นข้อเสนอสำหรับประชาชนที่ขบวนการต่อต้านมอนซานโต้นำเสนอในปฏิบัติการครั้งนี้มี 7 ประเด็นสำคัญคือ
- บอยคอตสินค้าทุกชนิดที่ผลิตจากจีเอ็มโอของมอนซานโต้ โดยให้การสนับสนุนสินค้าเกษตรอินทรีย์แทน
- เรียกร้องให้มีการติดฉลากสินค้าจีเอ็มโอเพื่อให้ผู้บริโภคมีทางเลือกในการตัดสินใจ
- ยกเลิกบทบัญญัติไม่ชอบธรรมที่ปรากฎในกฎหมาย “Monsanto Protection Act” ของสหรัฐ
- เรียกร้องให้มีการวิจัยทางวิทยาศาสตร์อย่างจริงจังเกี่ยวกับผลกระทบของพืชจีเอ็มโอ
- ควบคุมผู้บริหารของมอนซานโต้ และนักการเมืองที่ได้รับการสนับสนุนจากมอนซานโต้โดยการกดดันโดยตรงของประชาชน สื่อมวลชนภาคประชาชน และสื่อสาธารณะต่างๆ เป็นต้น
- เปิดเผยและให้ข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมและการกระทำที่ไม่ชอบของมอนซานโต้ต่อสาธารณะ
- เดินขบวนในท้องถนนเพื่อประกาศต่อโลกและมอนซานโต้ว่าเราจะไม่ยอมจำนน สงบเงียบต่อความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นอีกต่อไป
ประวัติมอนซานโต้
บริษัทมอนซานโตก่อตั้งเมื่อปี 1901 โดย จอห์น ฟรานซิส ควีนนี (John F. Queeny) โดยชื่อมอนซานโต้มาจากชื่อของภรรยาของเขา คือ โอลกา มอนซานโต้ ควีนนี ( Olga Monsanto Queeny ) ผลิตภัณฑ์แรกของบริษัทคือสารเคมีที่ให้ความหวานแทนน้ำตาล “ ซัคคาริน” โดยมีบริษัทโคคา โคล่า เป็นคู่ค้าสำคัญ
ในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 บริษัทนี้เริ่มผลิตสารเคมีเองเพราะไม่สามารถนำเข้าสารเคมีจากยุโรปได้ โดยในปี 1929 มอนซานโตเติบโตอย่างรวดเร็วเป็นบริษัทขนาดใหญ่จากการผลิตสาร PCBs(Polychlorinated biphenyls) สารเคมีนี้ใช้อย่างแพร่หลายในสารหล่อลื่น น้ำมัน และใช้ผสมอยู่ในพลาสติก สีทาบ้าน ต่อมาพบว่าสารเคมีชนิดนี้เป็นสารพิษที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์ เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดมะเร็ง และความพิการในทารก ตลอดจนการเสียชีวิตของทารก
ระหว่างปี 1939 – 1948 บริษัทมอนซานโตได้ร่วมในโครงการทดลองวิจัยแร่เกี่ยวกับยูเรเนียมเพื่อใช้ในโครงการแมนฮัตตัน เพื่อผลิตระเบิดนิวเคลียร์
มอนซานโต้กระโจนเข้าสู่อุตสาหกรรมเคมีเกษตรตั้งแต่ปี 1945 เป็นต้นมา โดยเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายสารเคมีปราบวัชพืช 2,4 D สร้างผลกำไรให้แก่บริษัทอย่างมาก
ระหว่างปี 1961-1971 บริษัทมอนซานโต้ซึ่งเป็นร่วมกับบริษัทดาวเคมิคอลในการผลิต “สารสีส้ม” หรือ “ฝนเหลือง” (Agent Orange) โดยสารพิษร้ายแรงนี้ได้จากการผสมกันของ สารเคมีชื่อ 2,4,5-T และ 2,4-D เข้าด้วยกัน สารนี้เป็นพิษร้ายแรงทั้งต่อมนุษย์และพืชพรรณ สหรัฐโปรยสารพิษนี้ทางอากาศเพื่อทำลายผืนป่าและพื้นที่เกษตรในเวียดนาม ป้องกันไม่ให้เวียดกงหลบซ่อนในป่าทึบ ทำลายอาหารในเขตเวียดนามเหนือหวังกดดันให้ศัตรูยอมแพ้เพราะขาดอาหาร สารพิษนี้ถูกพ่นไป 76 ล้านลิตร ในพื้นที่ 10 ล้านแฮกตาร์ หรือ 12% ของพื้นที่ของเวียดนามใต้ในขณะนั้น ฆ่าชาวเวียดนามไปประมาณ 400,000 คน พิการ 500,00 คน และเจ็บป่วย 1-2 ล้านคน รวมไปทั้งทหารอเมริกันบางส่วนด้วย
ในปี 1972 มอนซานโตผลิตสารเคมีปราบศัตรูพืชชนิดใหม่ชื่อสามัญคือไกลโฟเสท “Glyphosate” หรือชื่อการค้า Roundup สารเคมีชนิดนี้ต่อมาแพร่หลายไปทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมอนซานโต้ผลิตพืชจีเอ็มโอที่ต้านทานต่อยาปราบวัชพืชนี้ ทำให้สามารถขายควบทั้งเมล็ดพันธุ์และสารเคมีปราบวัชพืชไปพร้อมๆกัน
ในปี 1987 มอนซานโตเริ่มวิจัยพันธุ์พืชจีเอ็มโอแต่เริ่มมีการผลิตและประสบผลสำเร็จในการปลูกเพื่อการค้าอย่างจริงจริงในปี 1996
ก่อนหน้านั้น 2 ปีคือในปี 1994 มอนซานโตได้ผลิตสารกระตุ้นการผลิตน้ำนมในวัว rBGH และ rBST มีชื่อการค้าว่า Polisac การใช้สารนี้ทำให้สามารถเพิ่มปริมาณการให้น้ำนมของวัวประมาณ 8-17% สารนี้ได้รับอนุญาตให้ใช้ในสหรัฐอเมริกา แต่ไม่ได้รับการขึ้นทะเบียนโดย CODEX แม้ว่าพยายามถึง 3 ครั้ง ปัจจุบันพบว่าสารกระตุ้นการเจริญเติบโตชนิดนี้เกี่ยวข้องกับการเกิดเนื้องอก มะเร็งทรวงอกและรังไข่ ลดภูมิต้านทานของร่างกาย และเกิดผลกระทบต่อการดื้อยาปฏิชีวนะ โดยประเทศในสหภาพยุโรปยกเลิกการใช้สารเคมีนี้แล้ว เช่นเดียวกับในหลายประเทศ เช่น ญี่ป่น ออสเตรเลีย เป็นต้น
ความสำเร็จของมอนซานโต้ซึ่งเกิดจากการซื้อบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทของตน การใช้กฎหมายสิทธิบัตรเพื่อผูกขาดเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้าไปให้การสนับสนุนนักการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ควบคุมนโยบายเกษตรและอาหาร ทำให้มอนซานโต้สามารถผูกขาดตลาดเมล็ดพันธุ์พืชสำคัญในสหรัฐได้เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์
บริษัทนี้ได้เติบโตอย่างรวดเร็วกลายเป็นบรรษัทเมล็ดพันธุ์ยักษ์ใหญ่อันดับหนึ่งของโลก และหนึ่งในห้าบริษัทสารเคมีการเกษตรที่ใหญ่ที่สุดของโลก