เมื่อวันที่ 13 มีนาคม ที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ภก.วรวิทย์ กิตติวงศ์สุนทร ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 7 อุบลราชธานี เปิดเผยว่า น้ำมันที่ใช้ในการทอดอาหารจะเกิดการเสื่อมสภาพไปและมีสารเกิดขึ้น 2 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มสารโพลาร์ ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงก่อให้เกิดโรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจและสมองตีบ โรคหัวใจวาย โรคอัมพฤกษ์หรืออัมพาต โดยประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 283 พ.ศ.2547 กำหนดให้มีสารโพลาร์ในน้ำมันไม่เกินร้อยละ 25 และ 2.กลุ่มสารโพลีไซคลิก อะโรมาติก ไฮโดรคาร์บอน (PAHs) ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง โดยจากการศึกษาพบว่า หากน้ำมันทอดซ้ำมีสารโพลาร์สูงก็จะมีสารกลุ่ม PAHs สูงตามไปด้วย ทำให้ผู้บริโภคเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลำไส้ ที่สำคัญสารกลุ่ม PAHs บางชนิดมีน้ำหนักเบาจะระเหยเป็นไอ ทำให้ผู้ประกอบอาหารซึ่งสูดดมควันมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งปอด
ภก.วรวิทย์กล่าวอีกว่า ที่น่าห่วงคือมีกลุ่มธุรกิจไปขอซื้อน้ำมันเก่ามาฟอกสี ซึ่งเมื่อก่อนสามารถแยกแยะได้ แต่ปัจจุบันมีการขายในอินเตอร์เน็ต ทั้งเครื่องฟอกน้ำมันและเครื่องบรรจุอย่างดี ถ้าพิมพ์ฉลากเข้าไปจะทำให้สังเกตได้ยาก จึงอยากเสนอให้ สธ. ร่วมมือกับผู้ประกอบการอาหาร และท้องถิ่นเทศบาล จัดการน้ำมันอย่างเป็นระบบ โดยนำน้ำมันทอดซ้ำไปทำเป็นไบโอดีเซล และต้องทำให้ประชาชนมีความรู้ในเรื่องของการเลือกประเภทน้ำมันในการนำมาใช้ทอดด้วย เช่น น้ำมันที่ทนความร้อนได้ดี หากทอดตลอดเวลาจะใช้เวลาถึง 10 ชั่วโมงจึงมีสารโพลาร์เกินร้อยละ 25 ส่วนน้ำมันที่ทนความร้อนไม่ค่อยดีจะใช้เวลา 8 ชั่วโมง เป็นต้น
นายพชร แกล้วกล้า ผู้ประสานงานโครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งกลไกคุ้มครองผู้บริโภคความปลอดภัยด้านอาหารภาคประชาชน มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า จากการตรวจสารโพลาร์ในร้านขายไก่ทอดชื่อดังหลากหลายแบรนด์ พบว่า ส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน มีเพียง 1 ร้านเท่านั้นที่มีสารโพลาร์เกินค่ามาตรฐานร้อยละ 25 และอีก 3 ร้านที่น้ำมันใกล้เสื่อมสภาพ ดังนั้น ไม่ว่าระดับห้างใหญ่ แฟรนไชส์ใหญ่ หรือระดับชาวบ้าน ก็มีความเสี่ยงพอกัน ซึ่งการรับประทานอาหารทอดนอกบ้านสัดส่วนในการได้รับสารโพลาร์มีถึง 1 ต่อ 3 แต่ที่น่าห่วงคือในร้านประเภทแฟรนไชส์จะไม่สามารถสังเกตน้ำมันได้เลย แต่หากเป็นร้านชาวบ้านทั่วไปสังเกตได้ โดยให้ดูว่าน้ำมันมีสีคล้ำหรือไม่ หากดมกลิ่นแล้วเหม็นหืนแสดงว่ามีการทอดซ้ำมานาน
ที่มา: มติชนออนไลน์ วันที่ 13 มีนาคม 2556 http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1363172577&grpid=03&catid=03
ที่มาของรูป: http://www.bloggang.com/data/m/maewkittyjung/picture/1278895477.jpg
“กินเปลี่ยนโลกเป็นกิจกรรมสาธารณะประโยชน์การนำข่าวหรือเรื่องเล่าต่างๆ จากอินเตอร์เน็ตมาเผยแพร่ ไม่ได้ทำเพื่อการค้า”