ภูฏานประกาศ จะเป็นชาติแรกในโลกที่จะทำการเกษตรอินทรีย์ 100% สร้างจุดเด่นในการแข่งขันกับตลาดโลก
ประเทศภูฏานที่เคยโด่งดังมาก่อนจากการวัดความสุขมวลรวมแห่งชาติ (จีเอ็นเอช) แทนที่การวัดผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) กำลังพัฒนาไปอีกขั้นด้วยการประกาศว่า ภูฏานจะยกเลิกการใช้ปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลงตลอดจนสารเคมีทางการเกษตรอื่นๆ และเป็นประเทศแรกที่เพาะปลูกเกษตรอินทรีย์ 100% ภายใน 10 ปีข้างหน้า
ภีมะ นัมโช รัฐมนตรีกระทรวงเกษตร กล่าวว่า ภูฏานได้ตัดสินใจเดินสู่เส้นทางเศรษฐกิจสีเขียว สวนทางกับที่มนุษย์เราสร้างแรงกดดันอย่างหนักให้กับโลกใบนี้ เขาอธิบายว่า หากภูฏานเลือกเส้นทางการเกษตรเข้มข้น เราจะต้องใช้สารเคมีอย่างมาก ซึ่งหนทางดังกล่าวไม่สอดคล้องกับความเชื่อในศาสนาพุทธที่เชื่อว่าเราควรจะอยู่อย่างกลมกลืนกับธรรมชาติ
นัมโชอธิบายว่า เกษตรกรส่วนใหญ่ของภูฏานเพาะปลูกเกษตรอินทรีย์กันเป็นปกติอยู่แล้ว พวกเขาจะใช้ปุ๋ยหมักธรรมชาติในการเพาะปลูก มีเพียงชาวนาจำนวนไม่มากที่สามารถติดต่อกับโลกภายนอกได้สะดวกที่มีสารเคมีทางการเกษตรใช้
ปัจจุบันมีเพียงชาติเดียวที่จะแข่งขันกับภูฏานว่าจะเป็นชาติแรกที่เพาะปลูกเกษตรอินทรีย์ก็คือ รัฐปกครองตนเองนิอูเอ ที่ตั้งอยู่บนเกาะเล็กๆ ในมหาสมุทรแปซิฟิก โดยเชื่อว่านิอูเอจะประสบความสำเร็จในการเพาะปลูกเกษตรอินทรีย์ทั้งประเทศในปี 2558-2563
ปีเตอร์ เมลเฉ็ต ผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายของสมาคมดินอินทรีย์อังกฤษ กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงการเพาะปลูกในภูฏานมาเป็นเกษตรอินทรีย์ จะช่วยสร้างจุดเด่นในด้านคุณภาพของผลผลิต และทำให้สามารถขายพืชผลในราคาพิเศษได้ นอกจากนี้ การยกเลิกการใช้สารเคมีทางการเกษตร ยังช่วยลดรายจ่ายจากการนำเข้าสินค้าของภูฏานได้อีกด้วย
ปัจจุบันภูฏานเป็นผู้ส่งออกสินค้าเกษตรราคาแพงไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก อาทิ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา อินเดีย รวมไปถึงประเทศไทยด้วย
ที่มา: ไทยโพสต์ วันที่ 4 ตุลาคม 2555 http://www.thaipost.net/news/041012/63187
“กินเปลี่ยนโลกเป็นกิจกรรมสาธารณะประโยชน์การนำข่าวหรือเรื่องเล่าต่างๆ จากอินเตอร์เน็ตมาเผยแพร่ ไม่ได้ทำเพื่อการค้า”