ความเฟื่องฟูด้านทรัพยากรอาหารของไทยเป็นที่เลื่องลือระบือไกลมาตั้งแต่ครั้งโบราณกาล แม้แต่ในบันทึกของชาวต่างชาติทั้งพ่อค้าวาณิชและหมอสอนศาสนา ผู้เคยย่างเหยียบผืนแผ่นดินแห่งนี้ ก็ยังพรรณนาถึงความมั่งคั่งเหล่านี้ไว้ บนดินแดนกว่า 5 แสนตารางกิโลเมตรของสยามประเทศ มีดินปากแม่น้ำอันอุดมสมบูรณ์ ห่างไกลจากธรรมชาติวิปโยค และเกษตรกรรมก็เปรียบเสมือนชีวิตและจิตวิญญาณของผู้คน ปัจจัยเหล่านี้เอื้ออำนวยให้พืชพรรณธัญญาหารกลายเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญของไทยมาทุกยุคสมัย โดยเฉพาะข้าวซึ่งเป็นสินค้าส่งออกสำคัญมาตั้งแต่สมัยอยุธยา หรือมากกว่าสองร้อยปีมาแล้ว
หลังรอดพ้นเงื้อมมือมหาอำนาจในยุคล่าอาณานิคม ไทยก็เบนเข็มสู่การพัฒนาประเทศตามแบบอย่างชาติตะวันตก โดยประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 1 เมื่อปี พ.ศ.2504 โดยมีหัวใจสำคัญอยู่ที่การปฏิรูปการเกษตร ซึ่งเป็นการพลิกโฉมวงการเกษตรของประเทศครั้งใหญ่ ทั้งด้านการชลประทาน วิทยาศาสตร์การเกษตร การผลิตและการแปรรูปอาหาร เช่น การปลูกข้าวพันธุ์ปรับปรุง การเกษตรเชิงเดี่ยว (Mono Cropping) การใช้ปุ๋ยเคมีและสารกำจัดศัตรูพืช รวมไปถึงการเร่งรัดกิจการประมง การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง และการปศุสัตว์
ความสำเร็จของการปฏิรูปเกษตรในครั้งนั้น ส่งผลให้ไทยเพิ่มผลผลิตได้มหาศาลจนกลายมาเป็นผู้ส่งออกอาหารชั้นแนวหน้าของโลก นำเงินตราเข้าประเทศอย่างเป็นล่ำเป็นสัน
ปัจจุบันไทยคือผู้ส่งออกข้าวอันดับหนึ่งของโลกด้วยปริมาณปีละร่วม 10 ล้านตัน ทั้งยังเป็นผู้ส่งออกกุ้งและเนื้อไก่อันดับหนึ่งและห้าของโลกตามลำดับ ยังไม่รวมถึงผักผลไม้นานาชนิดที่ไทยส่งออกเป็นอันดับต้นๆ ของโลกเช่นกัน
ความสำเร็จที่เกิดขึ้นส่งผลให้รัฐบาลในยุคหนึ่งถึงกับเสนอนโยบาย “ครัวไทยสู่ครัวโลก” และกำหนดให้เป็นยุทธศาสตร์พัฒนาประเทศสู่ความมั่งคั่ง ประกอบกับวิกฤติอาหารโลกที่อุบัติขึ้นในช่วงกลางปี 2551
ได้กลายเป็นโอกาสที่ไทยอาจสวมบทพระเอกขี่ม้าขาวเพื่อช่วยบรรเทาวิกฤติ และฉกฉวยความมั่งคั่งมาสู่ประเทศชาติได้
ทุกอย่างฟังดูสวยหรูและง่ายดายเช่นนั้นเชียวหรือ
ผลพวงของการเร่งรัดพัฒนาประเทศในยุคที่ผ่านมา โดยเฉพาะการรับเอากระบวนการผลิตอาหารเชิงอุตสาหกรรมจากตะวันตกมาใช้ หรือที่เรียกว่าการปฏิวัติเขียว (Green Revolution) ได้ฝากบาดแผลไว้บนดินแดนแห่งนี้มากมาย แม้ว่าในระยะแรกจะสร้างความฮือฮาให้กับวงการเกษตร เช่น ผลผลิตที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด (ก่อนจะค่อยๆ ถึงจุดอิ่มตัวและลดลงในหลายพื้นที่ เนื่องจากความเสื่อมโทรมของทรัพยากรอย่างดินและน้ำ)
ทว่าการปฏิวัติเขียวกลับกลายเป็นเป้าโจมตีของบรรดาผู้ต่อต้านถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น อาทิ สารเคมีที่ตกค้างในผลผลิต ระดับน้ำใต้ดินที่ลดฮวบฮาบ หนี้สินพะรุงพะรัง และการเสพติดเคมีภัณฑ์ทางการเกษตรชนิดถอนตัวไม่ขึ้นของเกษตรกรไทย (เห็นได้จากตัวเลขการบริโภคเคมีภัณฑ์ทางการเกษตรที่พุ่งทะยาน
เทียบกับปริมาณผลผลิตที่เพิ่มขึ้นแต่เพียงช่วงแรกเท่านั้น) นอกจากนี้ โรคและแมลงศัตรูพืชยังมีแนวโน้มระบาดรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
อดุลย์ เราะหมุด ผู้รับจ้างพ่นยาฆ่าแมลงในย่านบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทราเล่าให้ผมฟังว่า
“ยาสมัยนี้ดีจริงๆ นะครับ เชื่อไหมว่าวันก่อนตอนผมกำลังฉีดยา มีนกโฉบมากินข้าว นกตายต่อหน้าต่อตาผมเลย แต่คนไม่ยักเป็นอะไร” อดุลย์เล่า
ขณะยาเคมีสีน้ำเงินเข้มฟองฟอดล้นออกมาจากถัง แม้ว่าวันนี้ยาฆ่าแมลงยังทำอันตรายอดุลย์ไม่ได้
แต่รายงานของกรมอนามัยเมื่อปี พ.ศ. 2541 กลับพบว่า มีเกษตรกรที่ผลการตรวจเลือดอยู่ในเกณฑ์เสี่ยงต่อการเกิดโรคจากสารพิษถึง 77,789 ราย จากเกษตรกรที่เข้ารับการตรวจเลือด 369,573 ราย ขณะเดียวกันสารเคมีทางการเกษตรได้กลายเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคมะเร็ง ศาสตราจารย์นายแพทย์ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส ถึงกับขนานนามปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นว่า “แผ่นดินอาบยาพิษ”
ในเวลาเดียวกับที่ความหิวโหย กำลังโจมตีมนุษยชาติอยู่นั้น วิกฤติพลังงานได้เข้ามาซ้ำเติมราวกับผีซ้ำด้ำพลอย เมื่อพืชน้ำมัน (fuel crop) เปิดศึกแย่งชิงพื้นที่เพาะปลูกกับพืชอาหาร ตัวอย่างที่เห็นชัดที่สุดอย่างหนึ่งคงไม่พ้นปาล์มน้ำมัน ซึ่งกลายมาเป็นพืชเศรษฐกิจยอดนิยมทางภาคใต้ของไทย ได้เข้ามาสอดแทรกแย่งชิงพื้นที่ปลูกข้าวแต่ดั้งเดิม ด้วยคุณสมบัติทนทายาด เก็บเกี่ยวผลผลิตได้ต่อเนื่องและขายได้ราคาขายดี เพียงเท่านี้ก็พอที่จะทำให้เกษตรกรละทิ้งไร่นาและหันมาจับเหล็กแทงทะลายปาล์มแทน
ยังไม่นับนโยบายยุทธศาสตร์ด้านพลังงานของทางการซึ่งมีแนวคิดเพิ่มพื้นที่เพาะปลูกพืชพลังงานชนิดนี้อีกกว่า 3.97 ล้านไร่ สร้างความวิตกกังวลให้กับบรรดานักอนุรักษ์ว่า พื้นที่เหล่านั้นอาจรุกเข้าไปในแหล่งป่าไม้ธรรมชาติและพื้นที่ปลูกพืชอาหาร จนอาจซ้ำรอยวิกฤติอาหารอีกครั้ง
ชอง ซีกเลอร์ ผู้ตรวจการด้านสิทธิทางอาหารของสหประชาชาติเคยออกมาเตือนอย่างเผ็ดร้อนว่า
“การเปลี่ยนที่ดินเกษตรกรรมเพื่อนำไปปลูกพืชที่จะเอาไปเผาสำหรับน้ำมัน ถือเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ”
อย่างไรก็ตาม แสงสว่างที่ปลายทางอุโมงค์ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างผู้สนับสนุนพืชอาหารและพืชพลังงาน อาจอยู่ที่วิทยาการสมัยใหม่ที่พร้อมเข้ามาจัดการเพิ่มผลผลิตโดยไม่ต้องเพิ่มพื้นที่เพาะปลูก
สมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมวิชาการเกษตร บอกว่า นอกจากการปรับปรุงพันธุ์ให้ได้ผลผลิตต่อไร่สูงขึ้นแล้ว ในอนาคตข้างหน้าเกษตรกรจะต้องเลือกพันธุ์พืชที่ให้ผลผลิตตรงตามวัตถุประสงค์การปลูก
(เช่น มันสำปะหลังเพื่อเป็นพืชอาหาร หรือเพื่อนำไปผลิตเอทานอล เป็นต้น) เพราะพืชเหล่านั้นจะได้รับการปรับปรุงพันธุ์จนได้สายพันธุ์เฉพาะทาง
ทว่าในเมืองเกษตรอย่างไทย ประเด็นที่ถกเถียงกันได้อย่างเผ็ดร้อนที่สุดคงไม่พ้นพันธุวิศวกรรม
(genetic engineering) และพืชดัดแปรพันธุกรรม (GMOs) ซึ่งหลายฝ่ายโดยเฉพาะนักวิจัยและภาครัฐมองว่า จะเป็นความหวังใหม่ในการช่วยเพิ่มผลผลิตอาหารได้เท่าตัว ลดการใช้เคมีภัณฑ์ทางการเกษตร
และเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์เพื่อสร้างความมั่นคง (และมั่งคั่ง) ด้านอาหาร
แต่สำหรับบรรดานักอนุรักษ์แล้ว พวกเขากลับมองว่าจีเอ็มโออาจซ้ำรอยความล้มเหลวของการปฏิวัติเขียว
พวกเขาโจมตีพืชจีเอ็มโอว่าผูกติดกับธุรกิจเคมีภัณฑ์ทางการเกษตรอย่างแยกไม่ออก โดยเฉพาะยากำจัดวัชพืช ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ของบริษัทผู้จำหน่ายเมล็ดพันธุ์จีเอ็มโอเช่นกัน
ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกกำลังวิตกกับการเพิ่มขึ้นของประชากร และความหิวโหยที่อาจซ้ำเติมผู้คนมากกว่าพันล้านคนในอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้า นักคิดบางฝ่ายกลับเชื่อว่า การเพิ่มขึ้นของประชากรเป็นเพียงมายาคติที่ระบบทุนสร้างขึ้นเพื่อครอบงำฐานการผลิตอาหารอย่างเบ็ดเสร็จ
วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี บอกว่า ขณะนี้อาหารที่โลกผลิตได้เกินความต้องการมากกว่าร้อยละ 50 มีแต่ปัญหาการบริโภคล้นเกินของผู้มีอันจะกินและการเข้าไม่ถึงอาหารของคนยากจนมากกว่า
การตั้งเป้าเป็น “ครัวของโลก” ส่งผลให้ไทยจำเป็นต้องเดินหน้าเร่งผลิตอาหารเพื่อป้อนโลก ซึ่งมีความต้องการอย่างไร้ที่สิ้นสุด แม้ว่านั่นอาจเป็นการทำลายฐานทรัพยากรเดิมอย่างน่าวิตก
ผลกระทบจากการปฏิวัติเขียวในยุคที่ผ่านมา เป็นบทเรียนสำคัญที่สะท้อนให้เห็นว่าแนวทางการพัฒนาประเทศในรูปแบบที่ไม่คำนึงถึงความสมดุลทางทรัพยากรเดิม คืออันตรายและเป็นการทุบหม้อข้าวตัวเองอย่างไม่รู้ตัว ขณะที่ความนิยมด้านพืชพลังงานและเทคโนโลยีใหม่อย่าง พันธุวิศวกรรมก็กำลังเข้ามาท้าทายความคิดของแต่ละฝ่าย ทั้งผู้กุมอำนาจบริหารประเทศและผู้ที่เฝ้าจับตามองปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น
ทางออกหนึ่งที่เริ่มมีคนพูดถึงมากขึ้นเรื่อยๆ คือ การปรับกระบวนทัศน์ด้านการผลิตอาหารมาสู่พึ่งพาตนเอง ทั้งทรัพยากรท้องถิ่น ภูมิปัญญาดั้งเดิม และการเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น การพึ่งพาตนเองโดยกระจายฐานการผลิตให้หลากหลาย ดูจะเป็นคำตอบสุดท้ายของความมั่นคงทางด้านอาหารในอนาคต
มากกว่าการผูกขาดฐานการผลิตอยู่ที่กลุ่มทุนใหญ่ๆ แค่ไม่กี่ราย
ซึ่งแม้แต่นโยบายของรัฐบาลในยุคหลังๆ เองก็คำนึงถึงสิ่งเหล่านี้ ทั้งการพึ่งพาตนเองและการคำนึงถึงคุณภาพสิ่งแวดล้อม
อย่างน้อยก็ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น
ที่มา : ไทยโพสต์ 13 กุมภาพันธ์ 2553