ถึงจะเป็นคนชอบกินผัก แต่ก็นึกสงสัยทุกทีที่กินยำผัก 4 ธาตุของป้าตุ๊ ว่าป้าคิดได้อย่างไรนะเนี่ย
ที่ทำให้คนลุกขึ้นมากินผักเขียวๆ ขมๆ อย่างนี้ได้ ไม่ใช่แค่อย่างสองอย่างเสียด้วย แต่ปาเข้าไปตั้ง 30 -40 ชนิด
ชั่วโมงนี้สำหรับคนรักสุขภาพ ถ้ายังไม่รู้จักยำผัก 4 ธาตุของป้าตุ๊ ต้องถือว่าไม่ใช่ตัวจริง แต่สำหรับคนไม่รักผักเลย ก็ต้องขอขยายความให้ฟังเยิ่นเย้อสักหน่อยว่า ยำผักของป้าตุ๊ มีผักพื้นบ้านชื่อเรียกยากๆ ยุ่งๆ กว่า 30 – 40 ชนิด หั่นฝอยยิบย่อย บรรจุห่อพร้อมน้ำปรุงรสและซองงาขาวงาดำให้นำมาคลุกเคล้ากับผักเขียวๆ หน้าตาขมๆ กินเพลินจนลืมขมไปเลย
เวลาตักกินยำผักของป้าทีไร ต้องนึกสงสัยทุกครั้งว่าป้าคิดได้อย่างไรหนอ จึงติดต่อป้าตุ๊ไปเพื่อถามไถ่ให้สิ้นสงสัยเสียทีว่า ยำผัก 4 ธาตุนี้ ท่านได้แต่ใดมา
กดหมายเลขโทรศัพท์ไปยังป้าตุ๊ เพลงรอสายของป้า วัยรุ่นมากๆ เมื่อรับสายแล้ว ป้าก็เชิญให้ไปพบที่ร้านอาหารสุขภาพสวนไผ่ ลงสถานีรถไฟฟ้าอารีย์ ร้านอยู่ข้างธนาคารเอสเอ็มอี แล้วจะได้คุยกันถึงความฮิตของยำผัก
“ถ้าปกตินะ ยอดขายจะอยู่ประมาณ 400-500 ชุดต่อวัน แต่มันเคยพุ่งขึ้นถึง 2,000 ชุดต่อวัน เมื่อครั้งได้ออกรายการตลาดสดสนามเป้า” ป้าตุ๊ หรือ นงลักษณ์ ศักดิ์พงศ์ เกริ่นให้ฟังก่อน เมื่อเราบอกไปว่าตอนนี้ไปที่ไหนก็เห็นยำผัก 4 ธาตุของป้าวางขาย
เส้นทางสายผักของป้าตุ๊
ก่อนที่ป้าตุ๊จะมาเป็นที่รู้จักในฐานะคนปรุงยำผักเมนูฮิตของคนรักสุขภาพในตอนนี้ ป้าตุ๊ เล่าว่า ชีวิตวนเวียนอยู่กับเรื่องสุขภาพๆ นี้มาหลายปีแล้ว
สมัย 30 ปีที่แล้ว ป้าไม่ค่อยสบาย ทานอะไรไม่ค่อยได้มันจะเหม็น เหม็นคาวอะไรอย่างนี้ ไม่ใช่ทานไม่ได้เฉยๆ ได้กลิ่นก็เป็นลมเลย เราก็เลยเลิกทานเนื้อสัตว์ไปโดยปริยาย พอเลิกทานก็หายป่วย เมื่อก่อนน้ำหนัก 35 กิโลกรัม ตอนนี้ 70 กิโลกรัม คิดดูละกัน ทานมาเรื่อยๆ ก็ทำให้ร่างกายเราแข็งแรง
ป้าตุ๊ บอกอย่างนั้น
พื้นเพป้าตุ๊เป็นคนกรุงเทพฯ อยู่ย่านนางเลิ้งนี่เอง แล้วก็ได้ย้ายไปอยู่เชียงใหม่ และก็จับพลัดจับผลูมามีอาชีพขายอาหารเจ
“จริงๆ ชีวิตไม่ชอบทำอาหาร แต่คนทางสันติอโศกเขาเตรียมไปเปิดงานที่เชียงใหม่ พอดีแม่ครัวออกก่อน ป้าตุ๊ก็ สงสารเขาลงทุนหลายแสน ตอนนั้นปี 2529-2530 ก็ถือว่ามาก ป้าก็ว่าไม่ต้องเครียดมาก เดี๋ยวป้าทำกับข้าวให้กิน พอทำให้เขากิน เขาก็ตบเขาฉาดเลยว่า คนทำกับข้าวอร่อยอยู่นี่เอง ปกติป้าทำขนมขาย ทำครองแครง ทำแป้งขลิบ ส่งขายที่เชียงใหม่ ที่นี้ตามหลักสันติอโศกเขาให้เงิน 500-600 บาท ซึ่งเราอยู่อย่างนั้นไม่ได้ เราทำขนมส่งได้เดือน 5,000-6,000 บาท อย่างนั้นเราทำให้ได้ 6 เดือนนะ เราไม่ใช่คนสันติอโศก คือ ไม่ใช่ผู้ใดทั้งสิ้น เราแค่เห็นว่าเขาต้องเอาเงินเยอะแยะมาทิ้งก็อยากช่วย นั่นก็เลยเป็นเหมือนตกกระไดพลอยโจรมาจนบัดนี้”
ตอนนี้ป้าเข้ามาเรียนรู้ด้านสหโยคะในกรุงเทพฯ จึงมามีร้านอาหารเจที่ ร้านเปี่ยมสุขภาพ ข้างธนาคารเอสเอ็มอีอยู่ในตอนนี้
ธรรมะจุดประกายไอเดีย
ถามที่มาของความคิดในเรื่องการคิดสูตรยำผัก 4 ธาตุ ที่มีผักพื้นบ้านบรรจุของในห่อย่อมๆ นั้นถึง 30-40 ชนิด ป้าตุ๊ ว่า ป้าเป็นคนชอบคิดอะไรใหม่ๆ แต่ไม่ชอบทำ ชอบอ่านหนังสือเป็นชีวิตจิตใจ พอดีเข้าปฏิบัติธรรมก็ได้อ่านหนังสือประวัติหลวงปู่มั่น (หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต) อ่านแล้วแต่ไม่มีอะไรโดนใจ จนครั้งหนึ่งประมาณปี 2540 มีเด็กมาจ้างทำอาหาร แต่ป้าไม่ได้รับเงินคิดว่าให้เป็นบริจาคไป เขาให้หนังสือประวัติหลวงปู่มั่น เขียนโดยหลวงพ่อวิริยังค์ (พระเทพเจติยาจารย์:วิริยังค์ สิรินฺธโร)
ป้าตุ๊ว่า ถามว่าเราคิดได้เองไหมก็ไม่นะ แต่ประกายที่ทำให้เราทำได้ก็ได้จากหลวงปู่มั่น
ป้าตุ๊อ่าน หนังสือเล่มนั้นไปมา 20-30 ครั้ง และได้พบกับสิ่งที่โดนใจถึงกับขีดเส้นใต้เก็บไว้อ่านซ้ำแล้วซ้ำอีก ในบทที่หลวงพ่อวิริยังค์ พูดถึงหลวงปู่มั่นว่าเป็นพระที่มีความละเอียดอ่อน แม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างการหั่นผัก เวลาไปบิณฑบาต หลวงปู่จะเณรเก็บผักพื้นบ้านมาล้างให้สะอาดแล้วหั่นฝอยๆ ฉันกับข้าว มีครั้งหนึ่งหลวงพ่อวิริยังค์เป็นคนหั่นผักเอง แต่หั่นหยาบ เพราะคิดว่ามันจะอร่อย หลวงปู่ก็ว่าอย่าตัดสินในสิ่งใดๆ ที่ยังไม่ได้พิสูจน์ว่าดีที่สุด
“ป้าอ่านแล้วก็ทำตามอย่างนั้นคือต้องพิสูจน์” สูตรยำผักยอดฮิตเริ่มต้นจาก “ที่เชียงใหม่จะมีผักพื้นบ้านประเภทหนึ่งที่เขาจะมัดรวมกันหลายชนิดขาย 10-20 อย่างมัดรวมกัน เป็นผักชนิดกินกับลาบ ขายมัดละ 5 บาท ป้าก็ไปซื้อมา แล้วซื้ออย่างอื่นๆ เพิ่มอีกเป็น 30 อย่าง แล้วก็มาหั่นฝอยทำยำ ใช้ชื่อว่ายำสมุนไพร ทำมาก็อร่อย เมื่อก่อนป้าจะห่อเป็นคำๆ? ผสมกันแล้วใส่ขนมจีน ใส่โปรตีนเกษตรด้วย ห่อเป็นคำๆ อย่างเมี่ยง พอทำไปทำมาห่อไม่ทัน คนที่รู้จักกันว่า คลุกดีกว่า แล้วใส่ถุงส่งขาย”
นอกจากผักแล้ว หัวใจสำคัญก็คือน้ำปรุงรส
“ถ้าไม่มีน้ำยำนี่กินไม่ได้เลย คิดจากว่า จะต้องเป็นน้ำที่กินกับผักทุกรสได้ ทำอยู่นาน นานมาก กว่าจะลงตัว ให้เป็นรสชาติที่กินกับผักที่มีหลายรสได้ เริ่มตั้งแต่ต้มน้ำตาลกับเกลือ เอามะนาวใส่ก็ไม่ได้ จังหวะเคี่ยวน้ำมันไม่ได้ จนมาวันหนึ่งจังหวะเคี่ยวน้ำเป็นยางมะตูม แล้วรุ่งเช้ามันจะเหนียวพอดี แล้วก็เอามะนาวบีบสดๆ กับน้ำเสาวรส ซีอิ๊วขาวใส่ รสชาติจึงจะดี รสจะออกเค็ม เปรี้ยว หวาน น้ำต้องเคี่ยวอย่างน้อย 3-4 ชั่วโมง ถ้าเคี่ยวๆ พุ่งๆ ปุ๊บ มันจะล้น ถ้าใส่น้ำน้อย น้ำตาลมันจะคืนตัว ถ้าใส่น้ำสามส่วนเคี่ยวให้เหลือส่วนเดียว” ป้าตุ๊ เล่าถึงน้ำปรุงรสถุงเล็กๆ ในห่อผักนั้น
จุดเริ่มต้นที่ทำให้ยำผักเป็นที่รู้จัก
“ตอนนั้นมีงานมังสวิรัติโลกที่เชียงใหม่ จัดที่โรงแรมปางสวนแก้ว ปี 2540-2541 ป้าก็ทำให้เขาทาน ยำสูตรนี้นักมังสวิรัติจากทั่วโลกรู้จักกันดี และรู้จักก่อนคนไทย เขากินแล้วเขา แฮปปี้กัน จนปี 2545 คนไทยถึงได้รู้จักกัน ป้าเข้ามาอยู่กรุงเทพฯ ได้เข้าไปร่วมงานกับทางแพทย์แผนไทย เขาก็เข้ามาแยกว่า ผักที่ป้าผสมมีผักรสอะไรบ้างเพื่อแยกตามธาตุ อย่างถ้า รสฝาดหวานมันก็ดีกับคนธาตุดิน ถ้าเปรี้ยวก็ธาตุน้ำ เป็นต้น ก็เลยตั้งชื่อใหม่เป็นยำ 4 ธาตุ แต่ที่จริง 5 ธาตุ ตามหลักของอาจารย์สุทธิวัฒน์ คำภา ที่เขียนนาฬิกาชีวิต? ถ้าทานแล้วระบบขับถ่ายดี ช่องว่างในลำไส้ไม่มี ไม่มีลม ก็นับเป็น 5 ธาตุ”
การตลาดแบบป้าๆ
นอกจากได้ทานผักครั้งละนับสิบชนิดในจานเดียวแล้ว ยำผักของป้าตุ๊ถูก พูดถึงและฮิต ส่วนหนึ่งคือกระบวนการผลิตของป้า เพราะหลายคนชอบกินผักและก็กลัวเรื่องสารเคมี แต่ป้ายืนยันผ่านหลายช่องทางสื่อที่สนใจงานของป้าว่า ผักในเมนูของป้าล้าง 5 น้ำ แต่ละน้ำมีส่วนผสมอย่างเกลือหรือถ่าน และที่สำคัญน้ำสุดท้ายเป็นเอนไซม์ ที่ใช้ผักปลอดสารพิษ หมักน้ำผึ้งไว้ 6 ปี ล้างพวกเคมีแล้ว ยังทำให้ผักสดชื่น
แม้ไม่ได้มีแพ็คเกจจูงใจ แต่มีนโยบายให้ชิมก่อนซื้อ
“ป้าจะเขียนว่าชิมก่อนถูกใจค่อยซื้อ ตอนขายใหม่ๆ ใครไม่ชิมป้าไม่ขายให้นะ ไม่เอาหรอกหั่นผักแล้วให้คนเอาไปทิ้ง กว่าจะหาผักมาครบตามสูตร กว่าจะล้าง กว่าจะหั่นได้นะ”
และส่วนหนึ่งที่ทำให้ยำผักของป้าฮิตขึ้นมา โดยที่ป้าไม่มีเงินถุงเงินถังทำการตลาด โฆษณาหรือประชาสัมพันธ์ แต่ป้าก็ไม่ได้ปล่อยไปตามเวรตามกรรม
“กว่าจะดัง ก็ล้มลุกคลุกคลานมานะ ไปออกรายการเยอะมาก ไปกับกระทรวงสาธารณสุขก็เยอะมาก กว่าคนจะทานเป็น ยากมาก ป้าไปออกงานที่เมืองทอง เสียค่าบูธทีละ 30,000 บาท ไปเยอะมาก จนทีวีช่อง 5 ช่อง 7 จะรู้จัก”
ถ้าธุรกิจใหญ่โตมีการทำการตลาด ผักห่อละ 35 บาทก็มีกลยุทธ์กับเขาเหมือนกัน
“การตลาดเราเป็นอย่างนี้ ทำอะไรเราต้องเป็นคนยื่นมือออกไปก่อน แน่นอนเราอาจขาดทุน ผักเราห่อละ 30-35 บาท ออกบูธเป็นหมื่น ก็ไม่มีที่ไหนหรอกทำแล้วได้กำไรเลย แต่มันจะอยู่ตัวได้ 3-4 ปี ทำอะไรก็คิดถึงต้นไม้ ไม่มีใครปลูกแค่ปีเดียว ลำใยยังปลูกตั้ง 2-3 ปี กว่าจะเก็บเกี่ยวผลได้ ป้าว่ามันดีมากนะ ถ้าจะมีคนรู้จักเราเพิ่มขึ้น อย่างน้อย 1-2 คน มีคนหนึ่งไอเรื้อรังเป็นเดือนๆ เรายำให้เขากินตอนแปดโมงเช้า จนถึงบ่ายสองเขาไม่ไอเลย เขาโทรมาบอกว่าป้าไม่ไอเลย เขาไปเจอคนอื่นเขาก็ไปบอกต่อ คนเป็นโรคเบาหวานกินแล้วหมอให้เขาลดยา คนที่นอนไม่หลับก็หลับได้ คนเป็นโรคหัวใจไม่มีแรง สักพักก็มีแรงพอที่จะทำบายพาสหัวใจได้ หลายอย่างเป็นตัวที่ดี”
ถ้าเห็นห่อผักเขียวๆ หน้าตาขมๆ เขียนปะหน้าว่ายำผัก 4 ธาตุ ครั้งนี้อาจไม่ประหลาดใจแล้วว่าคนทำได้ไอเดียบรรเจิดนี้มาจากไหน
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ 19 ก.พ. 52