วันแรกของเดือนที่สองของปี ที่ตลาดนัดแถวบ้านผู้คนหนาแน่นกว่าปกติ แผงขายของของเหล่าพ่อค้าแม่ค้านำสินค้าที่ใช้ประกอบพิธีกรรมปีใหม่จีนมาจัดวางเพื่อให้ลูกค้าเลือกซื้อและจับจ่าย ทั้งขนมเข่ง ขนมเทียน หมู ไก่ ผลไม้ ซึ่งราคาแพงโด่งไปกว่าปกติยังสังเกตเห็นได้ชัดเจน หลายๆ คนยังไม่วายบ่นปนกังวลกับราคาเนื้อสัตว์ ผลไม้ และน้ำมันพืช แม้ว่าผักเศรษฐกิจหัวใหญ่ๆ งามๆ อย่างกะหล่ำดอก กะหล่ำดอก ผักกาดขาว และกวางตุ้งจะลดต่ำลงมาถูกอย่างไม่น่าเชื่อก็ตาม
ฉันค่อยๆ เดินเลาะวนไปตามทางเล็กๆ ที่ผู้คนแออัดนั่น จากปากทางเข้าตลาดไม่กี่เมตร สายตาก็กวาดไปเห็น “new arrival” สินค้าแปลกใหม่ในรอบสัปดาห์นี้วางอยู่ในกระจาดที่พาดบนกะละมังสังกะสี ตรงหน้าตักแม่ค้าขายปลาที่นั่งสงบเสงี่ยมอยู่บนทางเดินเท้าแคบๆ นั่น
สองขาของฉันพาตัวฉันผ่าน new arrival นั้นมาแล้วอย่างช้าๆ ตายังคงกวาดไปทางซ้ายทางขวาจนเดินไปยังร้านขายสินค้าที่แม่สั่งซื้อ จากนั้นเดินวกอ้อมเส้นทางที่เป็นรูปเกือบมาไปยังด้านหน้าตลาดอีกฟากจน สุดท้ายแล้วจึงวนกลับทางเก่า
เป็นดั่งที่คาดไว้ เจ้า new arrival แม้จะมีจำนวนถุงที่บรรจุพร่องไปบ้างแล้ว แต่ยังเหลืออยู่อีก 6 – 7 ถุง ให้ฉันได้เลือกซื้อ จับและจ่าย ก่อนจะแวะไปสั่งโรตีไม่ใส่น้ำตาล 2 แผ่นสำหรับฉันกับแม่เพื่อเอากลับไปกินกันที่บ้าน
ฉันเขย่าถุงแกงป่องๆ ที่ใส่หอยจุ๊บสภาพพร้อมปรุง กึ่งถามกึ่งขอร้องกับแม่เมื่อมาถึงบ้านทันที่ว่าแกงหอยจุ๊บนะ
แม่ว่าแม่ไม่เคยแกงหอยจุ๊บเลย แต่เดี๋ยวแม่จะเดินไปถามแม่ค้าในตลาดดูว่าทำไง
พอแม่คล้อยหลัง ฉันเดินเข้าครัว ตั้งกาน้ำต้มน้ำให้เดือดเพียงชั่วอึดใจ แล้วใช้น้ำร้อนๆ นั่นลวกหอยที่ล้างอีกครั้งตามแม่บอก แล้ววิ่งออกมาเก็บพริกขี้หนูสวนเอาไปตำกับกระเทียม ใส่น้ำตาลปี๊บนิดหน่อย ปรุงรสด้วยน้ำปลากับมะนาว นั่งกินอย่างเอร็ดอร่อยไปได้หนึ่งยก
นี่หากฉันเจอหอยจุ๊บในสภาพธรรมชาติ คือยังเป็นๆ สดๆ และไม่ถูกทุบก้นนี่คงต้องใช้เวลาในการตัดสินใจมากกว่านี้อีกหลายเท่าแน่ ไม่ใช่แค่กลัวบาปกรรมเท่านั้นแต่มันหมายถึงต้องเอามาแช่น้ำ ล้าง ซาว และกะเทาะก้น นานและหลายขั้นตอนทีเดียว
นี่ฉันเข้าสู่วัยที่สนใจจะประหยัดเวลากับการกินหอยจุ๊บสุดโปรดแล้วจริงๆ ย้อนกลับไปสมัยอยู่ชั้นประถม ช่วงเวลาก่อนหน้านี้สัก 1 – 2 เดือน ซึ่งเป็นหน้าน้ำ ฉันกับเพื่อนๆ จะลงแรงกวาดตาหาหอยจุ๊บที่มักเกาะตามเสา และต้นไม้ในหนองน้ำเพื่อเอามานึ่งใส่ใบโหรพากับต้นตะไคร้ทุบ โรยเกลือ แล้ว แล้วทำน้ำจิ้มแซ่บๆ ระหว่างรอให้หอยสุก
หอยลวกกับน้ำจิ้มแซ่บๆ ที่ปรุงจาก พริก มะนาว น้ำตาลปี๊บและน้ำปลาดี
แม่กลับมาพร้อมมะพร้าวขูด 1 ขีด พริกแกงเผ็ด 1 ขีด และชะอม 1 กำ ใครว่าชะอมน่านี้ไม่ควรกินเพราะแพง ก็ก็เพราะแกงหอยจุ๊บนี่แหละถ้าขาดชะอมไปความอร่อยคงลดลงไปเยอะโขทีเดียว
หอยจุ๊บพร้อมกิน แม้จะขาดรสชาติของการ “จุ๊บ-ดูด” ไสักหน่อย แต่หอยสดๆ กำลังกินก็หวาน วัยกะลังกินนี่ต้องหอยสาว ไม่มีหอยลูกตัวจิ๊ดๆ อยู่ข้างใน แบบหอยไม่เสริมแคลเซี่ยมนี่อร่อยสุดๆ
แม่เดินวนไปหลังครัว เก็บใบมะกรูดและใบชะพลูมาสมทบ
เพิ่งหมดหนาวกำลังเข้าช่วงแล้ง แต่ก็มีใบชะพลู (อีเลิด-อีสาน) ให้เก็บเอาไปแกงสบายๆ
แม่เริ่มล้างและรูดชะอมก่อน รูดจากส่วนปลายลงข้างล่าง ถึงชะอมมีหนามก็ไม่ตำมือ เสร็จแล้วก็หั่นใบชะพลู และใบมะกรูดให้เป็นฝอย ไม่น่าเชื่อว่าผัก 3 อย่าง 3 กลิ่น ที่แผกต่างกันพอจับเอาเข้าเครื่องกับพริกแกง กะทิและหอยจุ๊บจะอร่อยได้ขนาดนั้น
เตรียมผักเสร็จแล้วแม่คั้นกะทิ จากนั้นก็เริ่มเอาพริกแกง 1 ช้อนโต๊ะผัดกับน้ำมันในกระทะไฟร้อนปานกลางจนหอม จากนั้นใส่น้ำกะทิลงไปผัด ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาลนิดหน่อย พอน้ำแกงเดือดดีก็ใส่หอยจุ๊บลงไป ปล่อยให้เดือดอีกทีใส่ผัก 3 อย่างที่เตรียมไว้ลงและปิดเตา
แม่ว่า… แกงหอยจุ๊บอร่อยๆ มันง่ายแค่นี้เอง
ผักที่ใส่ในแกงหอยจุ๊บมี 3 อย่าง ใบชะอม ใบชะพลูและ ใบชะกรูด เอ้ย! ใบมะกรูด
สงสัยว่าตลาดนัดอาทิตย์หน้า ต้องมองหาและคว้ามาทำกินอีกรอบแหงๆ
แม่ไม่เคยแกงหอย ต้องไปถามแม่ค้าขายกับข้าวสดในตลาดแล้วมาแกงให้กิน กินแล้วอยากให้แม่พิสูจน์ฝีมือใหมท่ว่าที่กินไปแล้วอร่อยเนี่ย … ฝีมือจริงๆ อ่ะ!!